วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความรู้ # 5 (นันทนาการ)


กิจกรรมนันทนาการแต่ละช่วงอายุ

นันทนาการ เป็นสาขาวิชาที่ว่าด้วยการพัฒนาสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หมายถึงการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น สังคมหนึ่งจะต้อง

มีบุคคลทุกวัยทุกเพศปะปนกันอยู่ตามลักษณะความเป็นอยู่ เช่น สังคมครอบครัว สังคมชนบท สังคมเมืองหรือสังคม

ชุมชน ลักษณะช่วงอายุ เช่น วัยเด็กเล็ก วัยเด็กเรียน วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยสูงอายุ การบริการสวัสดิภาพทางสังคมจึงต้องให้

บริการแก่บุคคลทุกระดับดังกล่าวอย่างทั่วถึง กิจกรรมนันทนาการจึงสามารถสนองในขอบข่ายนี้ได้เต็มที่




วัยเด็กเล็ก ( Infancy ) ช่วงอายุ 1-9 ปี

เป็นวัยที่จะต้องมีการเล่นเพื่อเตรียมชีวิตเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เจริญเติบโตเร็วมากอย่างมีคุณภาพการเจริญเติบโต

จะเริ่มจากส่วนบนลงมาส่วนกลางและเจริญต่อมาถึงส่วนล่างส่วนปลายต่อไป ในวัยนี้ถ้าเด็กขาดการส่งเสริมกิจกรรมที่

เหมาะสมเด็กก็จะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่เฉพาะอย่างยิ่งด้านทัศนคติทางแรงจูงใจการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ตาม

ความสามารถที่เหมาะสม ซึ่งวัยนี้เป็นช่วงที่กล้ามเนื้อกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ออกกำลังกายได้ไม่นานก็จะรู้สึก

เหนื่อย ชอบกิจกรรมที่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหลายๆ คนกิจกรรมที่เหมาะกับช่วงวัยนี้คือ กิจกรรมที่เน้นให้เด็กได้ฝึกความ

สัมพันธ์ของตา มือ และเท้า เช่น การวิ่ง กายบริหาร เกมเบ็ดเตล็ด ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง 

เพราะอาจจะทำให้กระดูกแตกหักได้ เวลาในการออกกำลังกายแต่ละครั้งก็ไม่ควรที่จะนานเกินไป


กิจกรรมนันทนาการในวัยเด็กเล็ก

1. การเล่นบทบาทสมมุติต่างๆ มีอุปกรณ์เครื่องเล่น เครื่องใช้ในบ้าน พวกหม้อข้าว เตา ถ้วย ชาม ช้อน ตู้ โต๊ะ เตียงขนาด

เล็ก รวมทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบุคคลอาชีพต่าง ๆ ชุดทหาร ตำรวจ หมอ พยาบาล ฯลฯ การเล่นบทบาทสมมติใน

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นการให้เด็กเล่นสมมติเป็นตัวละครต่าง ๆ ตามเนื้อเรื่องในนิทานหรือเรื่องราวต่าง ๆ

จุดประสงค์
1. ส่งเสริมการใช้ภาษาในการฟัง การถ่ายทอดเรื่องราว
2. ส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
3. ส่งเสริมการอยู่ร่วมกับเด็กอื่น
4. ส่งเสริมมารยาทในการเป็นผู้ฟังและผู้ชมที่ดี

วิธีเล่น
1. ให้โอกาสเด็กในการเลือกเรื่องและตัวละคร
2. จัดหาเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรืออุปกรณ์ประกอบการเล่นบทบาทสมมติ


2. การเล่นเครื่องเล่นสร้างสรรค์ กิจกรรมสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาเด็กให้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยใช้ศิลปะหรือวิธีการต่าง ๆ เป็นเครื่องมือ จะเน้นที่กระบวนการทำงานมากกว่าผลงาน ควรจัดกิจกรรมดังกล่าวทุกวัน และเลือกจัดตามความเหมาะสม
จุดประสงค์
1. ส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
2. แสดงออกถึงความชื่นชมในผลงานของตนและผู้อื่น
3. พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อเด็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
4. มีความสุขในขณะเล่นหรือทำงาน ช่วยผ่อนคลายอารมณ์
การเล่นเครื่องเล่นสร้างสรรค์มีดังนี้
วิธีเล่น
1) การเล่นกับบล็อก
    2) การเล่นพลาสติก ตัวต่อเป็นรูปต่าง ๆ
      3) การเล่นกับศิลปะ เช่น วาดภาพระบายสี การเล่นกับสีแบบต่าง ๆ การปั้น การเล่นกับกระดาษ ฉีก ตัด พับ 

      ปะ การเขียนภาพด้วยนิ้วมือ

    4) การเล่นกับน้ำหรือเล่นกับทราย

    5) การเล่นเพื่อความเจริญทางกล้ามเนื้อ เช่น ค้อน คีม ตะปู เลื่อย

    6) การเล่นเพื่อส่งเสริมประสาทสัมผัส ระหว่างมือและตา เช่น การร้อยลูกปัดด้วยเชือก การร้อยภาพด้วยเชือก 

    การติดรังดุม และการผูกเชือก

    7) การเล่นภาพตัดต่อ






วัยเด็กและวัยเรียน(Pre – school and Blementary ) ช่วงอายุ 10-13 ปี

เด็กวัยนี้ต้องการพัฒนาทักษะพื้นฐานและทักษะเบื้องต้น เพื่อเป็นเเนวทางในการพัฒนาทักษะกลไกขั้นสูงต่อไป กิจกรรม

ในยามว่างเชิงนันทนาการในวัยนี้จึงถือการส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสพัฒนากล้ามเนื้ออวัยวะได้เต็มที่และถูกต้อง ส่งเสริม

ให้เด็กเกิดความรู้ความเข้าใจในความจำเป็นและความสำคัญของนันทนาการต่อการพัฒนาตัวเล็กเพื่อจะได้เป็นกิจนิสัยจน

กลายเป็นนันทนาการเพื่อชีวิตติดตัวต่อไปซึ่งวัยนี้ร่างกายเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น

เด็กเริ่มที่จะแยกจับกลุ่มแบ่งเป็นชายและหญิง และชอบกิจกรรมที่ต้องแข่งขัน ชอบการผจญภัยกิจกรรมที่เหมาะกับช่วง

วัยนี้คือ กิจกรรมที่เน้นความคล่องแคล่ว หรือกิจกรรมที่ฝึกการใช้ทักษะ เช่น การเล่นฟุตบอล บาสเกตบอล เทนนิส 

เป็นต้น แต่ผู้ปกครองก็ควรที่จะชี้แจงให้บุตรหลานเข้าใจด้วยว่า ไม่ควรที่จะเล่นหักโหมเกินไป เพราะอาจจะเกิดอันตราย

ต่อร่างกายได้


กิจกรรมนันทนาการในวัยเด็กเเละวัยเด็กเรียน

1.การเล่นฟุตบอลเพื่อให้ร่างกายและสุขภาพเเข็งแรง    2.การท่องเที่ยวสวนสนุกเผื่อความเพลิดเพลิน




วัยเด็กโตและวัยรุ่น (Adolesence) ช่วงอายุ 14-24 ปี

วัยนี้การเข้าสังคมมีความสำคัญควบคู่กับการเรียนรู้เพื่ออนาคต เพื่อฐานะทางเศรษฐกิจ ควรรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิด

ประโยชน์ในรูปแบบของการหากิจกรรมซ่อมเสริมเพื่อตัวเองตัวเองและสังคม เป็นสิ่งที่ควรจะได้รับเต็มที่จาก

นันทนาการในรูปแบบต่างๆเพระาความพร้อมที่จะเข้าสังคมเป็นที่ยอมรับของสัมคมทั้งทางด้านบุคลิกภาพและ

บุคลิกลักษณะ คุณธรรมต่างๆ เพื่อให้สามารถปรับตัวทางสังม และเป็นการเตรียมความสามารถที่มีอยู่บ้างแล้วให้มีความ

มั่นคงและเพิ่มพูนสมรรถภาพในการทำงาน นั่นคือจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดีเป็นปกติ เด็กวัยนี้จะต้องมีจิตใจร่าเริงเเจ่มใส

เป็นทุนร่วมกับการมีร่างกายที่แข็งเเรง เพื่อเป็นหลักประกันชีวิตในการทำงานต่อไปและเป็นช่วงที่ร่างกายเคลื่อนไหวได้

อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสมรรถภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย ผู้ที่อยากเป็นนักกีฬาก็สามารถฝึกทักษะทางด้าน

กีฬาได้อย่างเต็มที่ในช่วงอายุนี้

กิจกรรมนันทนาการในวัยเด็กโตและวัยรุ่น

1.การเล่นกีฬาว่ายน้ำเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่เเข็งแรง

2.การประดิษฐ์ของใช้ส่วนตัวแบบต่างๆ สามารถใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เเล้วยังจะได้ข้าวของเครื่องใช้มาใช้อีกด้วย



วัยผู้ใหญ่ (Elderly) ช่วงอายุ 25-59 ปี

วัยเเห่งการเคร่งเครียดหลายๆด้าน เช่น การงาน ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ เป็นต้น วัยผู้ใหญ่ต้องการนันทนาการมากไม่

ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้อื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วโดยเฉพาะการจัดสรรเวลาว่างสำหรับตัวเองแล้วก็นับว่าเป็นเครื่งชี้ได้ว่า

ประสิทธิภาพของการดำเนินชีวิตเริ่มเลือนแล้ว ฉะนั้น การมีเวลาว่างสักเล็กน้อยเพื่อให้ได้ผ่อนคลาย เพื่อให้ได้เปลี่ยน

บรรยากาศของความเคร่งเครียดของการงานและหน้าที่หลักมาเป็นการแสดงออกที่อิสระและมีความสนุกสนใจ ถือเป็น

ส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันให้ได้จึงจะเป็นวัยแห่งความมั่นคง และเป็นช่วงที่ร่างกายได้รับการสะสมของไขมันไว้มาก

 ทำให้ออกกำลังกายได้ไม่นานก็รู้สึกเมื่อยล้า ร่างกายก็เริ่มเคลื่อนไหวได้ช้าลง

กิจกรรมที่เหมาะกับช่วงวัยนี้คือ กิจกรรมที่เน้นความเพลิดเพลิน ความสบายใจ เคลื่อนไหวช้า และสามารถที่จะปฏิบัติได้

อย่างสม่ำเสมอ เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ซึ่งการออกกำลังกายในช่วงวัยนี้ก็เริ่มที่จะมีข้อจำกัดคือ ให้ระวัง

การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เพราะว่าอายุที่มากขึ้นทำให้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อลดลง ดังนั้นก่อนที่จะมีการออกกำลัง

กายทุกครั้ง ควรที่จะวอล์มร่างกายก่อน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ยืดหยุ่น


กิจกรรมนันทนาการในวัยผู้ใหญ่

1.การเล่นกีฬากอล์ฟเพราะเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้พลังงานเยอะเหมาะกับวัยผู้ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง

2.การเต้นแอโรบิค



วัยสูงอายุ (Elderly) ช่วงอายุ 60 ปี ขึ้นไป

โดยปกติในวัยนี้คนที่อยู่ในวัยนี้มีความรู้สึกว่าถูกสังคมลืม แต่ในวัยอ่อนกว่าจะมองในลักษณะขาดประสิทธิภาพและไร้ค่า 

คนวัยสูงอายุถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งจะเห็นว่า แนวทางการพัฒนากลุ่มสังคมในอาศัยวัยสูงอายุซึ่งถือว่าเป็นวัยที่ผ่านโลกมา

อย่างโซกโซน ถ้าเราให้โอกาสและความสำคัญต่อเขาบ้าง เช่นให้โอกาสทางสังคม ให้กิจกรรมรวมทั้งเป้นผู้สนับสนุนการ

ทำงานเพื่อบริการทางสังคมแล้ว ก็จะเป็นเหมาะสมยิ่งกว่าวัยอื่นๆๆ สังคมของคนสูงอายุ คือเป็นช่วงของชีวิตที่ต้องการ

การพักผ่อนหลังจากการทำงานที่ผ่านมาอันยาวนาน รูปแบบของกิจกรรมนันทนาการในวัยสูงอายุนี้ควรจะอยู่ในรูปแบบ

ของกิจกรรมเบาที่สามารถให้ความเพลิดเพลินและรักษาสุขภาพได้ดีก็เพียงพอแล้ว คนสูงอายุถ้าถูกจำกัดในเรื่อง

นันทนาการก็จะเป็นปัญหาต่อสังคมหนักขึ้นกว่าเดิม สังคมก็เจริญได้ไม่เต็มที่ เป็นช่วงที่ร่างกายโดยรวมแล้ว มี

สมรรถภาพที่ลดลง สภาพจิตใจก็จะแย่ลงไปด้วย ควรเน้นที่การออกกำลังกายที่สามารถฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง พร้อมกับ

ฟื้นฟูจิตใจด้วยกิจกรรมที่เหมาะกับช่วงอายุนี้คือ กิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ ไม่มีการปะทะ ไม่มีการเปลี่ยน

จังหวะหรือทิศทางอย่างกะทันหัน เช่น การวิ่งจ๊อกกิ้ง การรำไทเก๊ก การเต้นแอโรบิคแบบใช้แรงกระแทกต่ำ (Low 

Impact) และไม่ควรที่ใช้เวลาในการออกำลังกายแต่ละครั้งนานเกินไป แต่ควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ



กิจกรรมนันทนาการในวัยผู้สูงอายุ
1.การรำมวยจีน


2.การไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัด



ฉะนั้นทุกระดับของอายุควรจะได้สิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องของการรับบริการสร้างสวัสดิการสังคมในด้านนันทนาการ

เหมือนกัน เพื่อให้สังคมเป็นสังคมที่บริบูรณ์พูลสุข


#เพ้อเจ้อไปเยอะเเหละ เอาความรู้มามาบ้าง อันนี้เคยทำรายงาน เผื่อจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นไม่มากก็น้อยนะค่ะ

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

ความรู้ # 4 (ระบบเครือข่าย (Network) )




Network หมายถึง การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่อง หรือตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ผ่านตัวกลาง (เช่น สายเคเบิ้ล) เพื่อให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถรับ-ส่งข้อมูล ตลอดจนการนำทรัพยากรมาใช้ร่วมกันได้ และประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ของแต่ละระบบ Network ที่ได้ถูกตั้งขึ้นมาว่า ต้องการเน้นการใช้งานระบบ Network นั้นเพื่องานใด



Network หมายถึง เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่าน
จุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง


อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศ สหรัฐอเมริกา คือAdvanced Research Projects Agency (ARPA) ในปี 1969 โครงการนี้เป็นการวิจัยเครือข่ายเพื่อ
การสื่อสารของการทหารในกองทัพอเมริกา หรืออาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า ARPA Net ในปี ค.ศ. 1970 ARPA Net ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นโดยการเชื่อมโยงเครือข่ายร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา คือ มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการใช้ อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
สำหรับในประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการ IDP (The International Development Plan) เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถติต่อสื่อสารทาง
อีเมลกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลียได้ ได้มีการติดตั้งระบบอีเมลขึ้นครั้งแรก โดยผ่านระบบโทรศัพท์ ความเร็วของโมเด็มที่ใช้ในขณะนั้นมีความเร็ว 2,400 บิต/วินาที จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ได้มีการส่งอีเมลฉบับแรกที่ติดต่อระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงเปรียบเสมือนประตูทางผ่าน (Gateway) ของไทยที่เชื่อมต่อไปยังออสเตรเลียในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2533 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของสถาบันการศึกษาของรัฐ โดยมีชื่อว่า เครือข่ายไทยสาร (Thai Social/Scientific Academic and Research Network : ThaiSARN) ประกอบด้วย มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ เพื่อการศึกษาและวิจัย
ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้น เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และภาคเอกชนต่างๆ ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์ (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
(Internet Service Provider: ISP) เป็นบริษัทแรก เมื่อมีคนนิยมใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต
จึงได้ก่อตั้งเพิ่มขึ้นอีกมากมาย


วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความรู้ #3 (ซอฟต์แวร์)


ซอฟแวร์
หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น
1. ซอฟต์แวร์สำหรับระบบ (System Software)
คือ ชุดของคำสั่งที่เขียนไว้เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะทำงานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่มำให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บางที่เรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทำบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทำสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฏเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซึ่งสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา
2।3 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้องเวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานมราขาดบุคลากรที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรมสำเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ต่างๆ เป็นต้น



ความรู้ # 2 (ฮาร์ดแวร์)



ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกันฮาร์ดแวร์
ความหมายและความเป็นมา
เมื่อพิจารณาศัพท์คำว่าคอมพิวเตอร์ถ้าแปลกันตรงตัวตามคำภาษาอังกฤษจะหมาย ถึงเครื่องคำนวณดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้างๆ เครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้าต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้นลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัดคำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อนหรือเครื่องคิดเลขล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ ได้ ทั้งหมดในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจงหมายถึงเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงาน คำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและ อัตโนมัติพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ।ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทำหน้าที่เสมือนสมอง กลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์การจำแนกคอมพิวเตอร์ตามลักษณะวิธีการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์อาจ แบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
แอนะล็อก คอมพิวเตอร์ (analog computer)
ดิจิทัลคอมพิวเตอร์ (digital computer)
องค์ประกอบของฮาร์ดแวร์
หน่วยประมวลผลกลาง Processor
หน่วยประมวลผลกลางหรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ซีพียู (CPU) เป็นหน่วยที่เปรียบเสมือนสมองของระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นหน่วยที่มีความซับซ้อนที่สุด ส่วนประกอบต่าง ๆในหน่วยประมวลผลกลางเป็นตัวกำหนดความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลผลกลางรุ่นใหม่ ๆ จะมีขนาดเล็กลงในขณะที่มีความเร้วเพิ่มขึ้น
หน่วยความจำหลัก Main Memory
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage)
หน่วยรับข้อมูล
ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลัก ปัจจุบันมีสื่อต่าง ๆ ให้เลือกใช้มากมาย
หน่วยแสดงผล
ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
ก่อนที่จะศึกษาว่าคอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลได้อย่างไร จะต้องทราบก่อนว่าสื่อสำหรับเก็บข้อมูลนั้นมีอะไรบ้าง เนื่องจากคอมพิวเตอร์แปลงคำสั่งและข้อมูลต่าง ๆ เก็บไว้ในรูปของเลขฐานสองคือ 0 และ 1 ทั้งสิ้น โดยที่ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ จะถูกแทนด้วยกลุ่มของเลขฐานสอง และเนื่องจากแรมเป็นหน่วยความจำที่ไม่ได้เก็บข้อมูลอย่างถาวร ถ้าปิดเครื่องหรือไฟดับข้อมูลก็จะหายไป ดังนั้นถ้าผู้ใช้มีข้อมูลอยู่ในแรมก็จะต้องทำการจัดเก็บข้อมูล โดยย้ายข้อมูลจากหน่วยความจำไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างถาวรไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกจากผู้ใช้เป็นผู้สั่ง รวมทั้งสามารถเก็บข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้และที่สำคัญหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหน่วยความจำหลัก คอมพิวเตอร์ ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก ๆ ได้ แต่ความเร็วในการอ่านและบันทึกข้อมูลของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะต่ำกว่าแรมมาก ดังนั้นจึงควรทำงานให้เสร็จก่อนจึงย้ายข้อมูลนั้นไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง





วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความรู้ #1 (อินเตอร์เน็ต)


อินเตอร์เน็ตคืออะไร

ในสังคมยุคข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า “อินเตอร์เน็ต” เหตุเพราะอินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนจำนวนมากในโลกนี้ไปแล้ว ประมาณกันว่าในแต่ละวันมีผู้คนมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศต่างๆ กว่า 150 ประเทศทั่วโลกกำลังใช้อินเตอร์เน็ตกันอยู่ อาจเป็นนักศึกษาคนหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่กำลังสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ หรือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นกำลังสั่งซื้อหนังสือจากประเทศไทย เป็นต้น การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตดังที่ได้กล่าวมานี้ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพของการสื่อสารที่ไร้พรมแดนได้อย่างชัดเจน
การใช้อินเตอร์เน็ตในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น โดยได้ก้าวล่วงเข้าไปในทุกสาขาอาชีพ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการศึกษาหรือการวิจัยเหมือนเมื่อเริ่มมีการใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ด้วยคุณสมบัติการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ ทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาขององค์กรทั้งหลาย ได้มีความพยายามนำอินเตอร์เน็ตมาใช้เพื่อประโยชน์สำหรับหน่วยงานของตนในรูปแบบต่างๆ อาทิ การประชาสัมพันธ์องค์กร การโฆษณาสินค้า การค้าขาย การติดต่อสื่อสาร ฯลฯ นอกจากนี้อินเตอร์เน็ตยังกลายเป็นอีกสื่อหนึ่งของความบันเทิงภายในครอบครัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถกระทำผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น

1. ความหมายของอินเตอร์เน็ต
“อินเตอร์เน็ต” มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
คำว่า “เครือข่าย” หมายถึง
1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรง) และหรือสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม)
2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์
3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน

2. หน้าที่และความสำคัญของอินเตอร์เน็ต
การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วยงาน และอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเต็มที่
อินเตอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิงและวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลายคือ
1. การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
2. อินเตอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกันห่างกันคนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึงกันได้
3. อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้
คำอื่นที่ใช้ในความหมายเดียวกับอินเตอร์เน็ต คือ Information Superhighway และ Cyberspace

3. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย
ประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในพ.ศ. 2535 โดยเริ่มที่สำนัก วิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ 2 วงจร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมเชื่อมโยงเครือข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยายไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ
สำหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริษัทสำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เอกชนและบุคคลทั่วไปที่นิยมเรียกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailand) บริษัทเคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจำกัด (Internet KSC) บริษัทล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจำกัด (Loxinfo) เป็นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้บริการจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ
1. อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี
2. คำนวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสียเวลารอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้
3. ความเร็วของสายที่ใช้
4। พื้นที่ในการให้บริการ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยู่ในจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่วนใหญ่มักให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร